Where we are

MACO is Thailand

leading creative and innovative out of home media solution provider.

​เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่นักการตลาดกำลังจับตามอง

เมื่อเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ คำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริงๆ มักเกิดขึ้นในใจของนักการตลาดทุกคน รวมทั้งการส่งมอบสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้กลายเป็นสนามรบใหม่สำหรับธุรกิจต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญคือการพบปะกับผู้บริโภคในที่ที่พวกเขาอยู่ และสร้างความประทับใจให้พวกเขาด้วยข้อมูลที่ต้องมากกว่าความฉาบฉวย  

เทรนด์ที่ 1 : การช้อปปิ้งแบบไฮบริด
การระบาดใหญ่ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนจับจ่ายซื้อของ แต่ไม่ใช่ในแบบที่คุณคิด อนาคตของการช้อปปิ้งจะไม่ง่ายเหมือนการเปลี่ยนไปใช้ออนไลน์ ในขณะที่ร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หวนคิดถึง

ในความเป็นจริงแล้วพบว่า 48% ของผู้บริโภคยังคงชอบการช้อปปิ้งด้วยตนเองเพราะพวกเขาสามารถเห็นและสัมผัสผลิตภัณฑ์ได้ และแม้แต่ผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งออนไลน์ก็ระบุว่าพวกเขาไม่ได้ซื้อของผ่านทางออนไลน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะไม่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น มีนักช้อปออนไลน์เพิ่มขึ้น 4.4 YoY ในปี 2563 และ 2564 หรือเพิ่มขึ้นกว่าจำนวน 900 ล้านคน!
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจซื้อสินค้าทางออนไลน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า แต่จะขึ้นอยู่กับว่าผู้บริโภคต้องการอะไรในขณะนั้น ตัวอย่างเช่น ผู้คนซื้ออุปกรณ์ไอที จาก Amazon มาหลายปีแล้วและนี้คือหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนมักซื้อทางออนไลน์


แต่สำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคแบบเดลิเวอร์รี่นั่นเป็นบริการที่โดยทั่วไปแล้วเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่เฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุหรือคนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่มีรถยนต์ แต่คนส่วนใหญ่มักไปที่ร้านขายของชำโดยตรง แต่ปัจจุบันการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคแบบเดลิเวอร์รี่นั้นเป็นเรื่องสำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ไปแล้ว

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะเลือกใช้มันเพียงอย่างเดียว สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากกว่าคือพวกเขาจะใช้ประโยชน์จากทั้งสองตัวเลือก โดยเลือกตัวเลือกที่เหมาะกับสถานการณ์ที่สุด ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร กุญแจสำคัญคือการสร้างทางเลือกที่หลากหลาย

เทรนด์ที่ 2 : ต้องการความสะดวกสบาย
แบรนด์ต่างๆ ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในช่วงเวลาที่โมเดลธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น ร้านอาหารมีบริการซื้อกลับบ้าน ผู้ค้าปลีกเพิ่มทางเลือกในการรับสินค้าหน้าร้าน และมาตรการด้านสุขอนามัย เช่น การชำระเงินแบบไร้เงินสดและการจัดส่งแบบไร้สัมผัสซึ่งกำลังได้รับแรงผลักดันอย่างมาก
โดยในอนาคตผู้บริโภคคงไม่อยากละทิ้งความสะดวกสบายเหล่านี้ พบว่าผู้บริโภค 44% ยังคงชอบทานอาหารที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้านหรือสั่งกลับบ้าน

อย่างไรก็ตามเมื่อมาตรการด้านความปลอดภัยในการแพร่ระบาดผ่อนคลายลง แบรนด์ต่างๆจะต้องพิจารณาว่าพวกเขาจะกลับมาดำเนินการตามปกติได้อย่างไร ในขณะเดียวกันก็เสนอตัวเลือกความสะดวกสบายเพิ่มเติมที่ผู้บริโภคคุ้นเคยและมีแนวโน้มที่จะต้องการต่อไป 
แนวโน้มพฤติกรรม: ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่มีทางเลือกบริการที่สะดวกและหลากหลาย

เทรนด์ที่ 3 : บ้านกลายเป็นศูนย์กลาง
บ้านเคยเป็นสถานที่ที่ผู้คนจะอยู่ก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่มีสิ่งอื่นให้ทำ แต่สำหรับปัจจุบันนั้นบ้านเป็นที่ที่เราสามารถทำทุกอย่างได้ โดยผู้บริโภคในอเมริกาเหนือใช้เวลาเฉลี่ย 90% ในบ้าน!

ซึ่งสิ่งที่เราทำในบ้านนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างถาวร ซึ่ง Accenture พบว่า 46% ของผู้คนวางแผนที่จะทำงานจากระยะไกลบ่อยขึ้นในอนาคต ยอดขายอุปกรณ์ออกกำลังกายในบ้านมีราคาแพง เช่น ลู่วิ่งและจักรยานเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณในปี 2563 เนื่องจากผู้คนออกกำลังกายที่บ้าน

สำหรับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่นๆ ช่วยให้เราสามารถพูดคุยแบบเห็นหน้ากับครอบครัวและเพื่อนฝูงได้จากระยะไกล ทุกวันนี้นี้คือวิธีในการเข้าสังคมของคนปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าตอนนี้ผู้บริโภคได้ลงทุนกับกิจกรรมที่สามารถทำได้ที่บ้านแล้วและมีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่แม้การแพร่ระบาดจบลง ซึ่งแบรนด์ที่ผลิตภัณฑ์สามารถได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้ ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์โฮมออฟฟิศ สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในขณะที่แบรนด์ที่มีรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ขึ้นอยู่กับลูกค้าก็จะต้องปรับตัว เช่น โรงยิมที่มีทั้งคลาสออกกำลังกายแบบตัวต่อตัวและแบบเสมือนจริง

เทรนด์การซื้อกลับบ้าน: ผู้บริโภคจะเพลิดเพลินกับการกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่พวกเขาจะยังคงทำอะไรจากที่บ้านมากขึ้น

เทรนด์ที่ 4 : ความภักดีไม่ใช่การให้
การสร้างความภักดีของลูกค้าเป็นหนึ่งในวิธีที่แน่นอนที่สุดในการเพิ่มรายได้และยอดขาย แต่ความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์จะลดลงหรือไม่? 
จากรายงานพฤติกรรมผู้บริโภคปี 2564 ของ Raydiant พบว่า 48% ของผู้บริโภคเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ปกติจะซื้อในร้านค้าเป็นช่องทางออนไลน์ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ โดยประมาณหนึ่งในสี่ของผู้บริโภค รายงานว่าพวกเขาเปลี่ยนแบรนด์บ่อยกว่าที่เคยเป็นมา

ถึงแม้สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ แต่ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สำคัญ โดยความจริงที่ยากสำหรับแบรนด์นั้นก็คือ มันไม่สำคัญว่าเหตุผลดั้งเดิมที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแบรนด์คืออะไรแต่สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้ลูกค้าชอบแบรนด์ใหม่นั้นหรือไม่

ผู้บริโภคมักให้ความสำคัญกับการรีวิวมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ เช่นเดียวกันกับ 89% ของลูกค้าจะอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นเพื่อเป็นการทำให้ตัวเองแตกต่างจากคู่แข่งสามารถทำได้โดยการรวบรวมคำติชมต่างๆจากลูกค้า ซึ่งต้องขอบคุณการแสดงตัวตนทางออนไลน์ที่มากขึ้นจากแบรนด์ในอุตสาหกรรมต่างๆ และความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น เช่น เวลาในการจัดส่งโดยรวมที่เร็วขึ้น (แม้กระทั่งในวันเดียวกัน) ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นและเข้าถึงตัวเลือกต่างๆ ได้ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

แนวโน้มพฤติกรรมที่เกิดขึ้น คือผู้บริโภคจะลองใช้ตัวเลือกต่างๆ มากขึ้น และพวกเขาจะเลือกตัวเลือกที่พวกเขาชอบที่สุดโดยไม่คำนึงถึงประวัติการซื้อก่อนหน้านี้ 

เทรนด์ที่ 5 : ลูกค้าต้องการความคุ้มค่าในหลายๆทาง 
ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสบการณ์ของลูกค้าไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ผู้บริโภคแสวงหาคุณค่า ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการซื้อจากแบรนด์ที่สอดคล้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว
ความยั่งยืนเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในอุตสาหกรรมการค้าปลีก พบว่ามีการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนเพิ่มขึ้น 70% ตั้งแต่ปี 2559 และนี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ทั้งหมด แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมองอย่างใกล้ชิดมากขึ้นถึงแนวทางที่บริษัทต่างๆ มองและจัดการกับปัญหาสังคม ตลอดจนนำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปใช้ โดยผู้บริโภค 89% มีแนวโน้มที่จะซื้อจากแบรนด์ที่พวกเขารู้สึกว่าสร้างผลกระทบเชิงบวก 

หลายบริษัทใช้วิธีแสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าพวกเขาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพียงใด ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณซื้อสินค้าผ่าน Etsy (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ) เมื่อคุณตรวจสอบใบเสร็จรับเงินดิจิทัลของคุณ คุณจะเห็นหมายเหตุที่ด้านล่างเพื่อเตือนคุณว่าบริษัทชดเชยการปล่อยคาร์บอนสำหรับการจัดส่งทุกครั้ง

แนวโน้มพฤติกรรมที่น่าจับตามอง: ผู้บริโภคจะแสวงหาแบรนด์ที่มีความเรียลและโปร่งใสเพื่อพยายามตัดสินใจซื้ออย่างมีความหมาย

ที่มา : https://marketinginsidergroup.com