Where we are
Where we are
MACO is Thailand
leading creative and innovative out of home media solution provider.
FOMO คืออะไร? และสำคัญอย่างไรต่อการตลาดอีคอมเมิร์ซ
FOMO คืออะไร?
FOMO หรือ Fear of Missing Out คือความกลัวการพลาดโอกาสต่างๆ นับเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่กระตุ้นให้รู้สึกว่ากำลังจะพลาดโอกาสอันน่าทึ่งไป สิ่งนี้จะทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเสียใจ และสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่อยากพลาดโอกาสนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปที่ทุกคนต้องเคยประสบมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Active หรือ Inactive
FOMO หรือ Fear of Missing Out คือความกลัวการพลาดโอกาสต่างๆ นับเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่กระตุ้นให้รู้สึกว่ากำลังจะพลาดโอกาสอันน่าทึ่งไป สิ่งนี้จะทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเสียใจ และสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่อยากพลาดโอกาสนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปที่ทุกคนต้องเคยประสบมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Active หรือ Inactive
สำหรับกลุ่ม Inactive FOMO จะเกิดขึ้นการถูกบังคับให้รู้สึก เนื่องจากสิ่งที่พบ คล้ายกับการที่เราเห็นเพื่อนอัพโหลดเรื่องราวเกี่ยวกับปาร์ตี้บน Instagram และเราไม่ได้รับเชิญนั้นเอง หรือเมื่อเห็นโปรโมชั่น Flash Sale ออนไลน์แล้วเกิดความอยากซื้อแม้ตอนนั้นเราไม่ได้มีสิ่งที่ต้องการก็ตาม หรือเกิดความต้องการที่ท่องเที่ยวเพียงเพราะราคาตั๋วเครื่องบินลดนั้นเอง
เหตุใด FOMO จึงมีความสำคัญสำหรับธุรกิจ eCommerce
ความรู้สึกรีบเร่งและผลักดันให้ผู้บริโภคเกิดแอคชั่น คือสิ่งที่ทำให้ FOMO เกิดประสิทธิภาพในการตลาด eCommerce และนี้คือสามวิธีหลักที่พฤติกรรม FOMO มีอิทธิพลต่อผู้ซื้อ:
• พวกเขาใช้จ่ายเงินเพราะแรงกดดันจากสังคม เพราะไม่ต้องการถูกละเลยจากสิ่งที่คนอื่นกำลังประสบอยู่
• พวกเขาซื้อสินค้าเพราะกลัวว่าจะพลาดเป็นอย่างมาก
• พวกเขาเสียใจที่พลาดโอกาสและตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อจะได้ไม่พลาดอีก เช่น สมัครรับข้อมูลอัปเดต
สถิติจากการวิจัยโดย Trustpulse พบว่า FOMO คือ เครื่องมือในการเพิ่มความภักดี, การมองหาลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขาย ที่มีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ
• 56% ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียเคยมีประสบการณ์ FOMO โดยส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล (อายุ 22 - 37 ปี)
• 40% ของผู้คนใช้จ่ายเงินกับบางรายการปีละครั้งเพียงเพื่อโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
• 48% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลใช้จ่ายเงินโดยไม่จำเป็นเนื่องจากต้องตามเพื่อนให้ทัน
• 60% ของผู้คนซื้อเพียงเพราะ FOMO โดยส่วนใหญ่จะซื้อภายใน 24 ชั่วโมง
• 41% ของผู้คนเห็นด้วยที่จะใช้จ่ายเพราะกังวลว่าจะไม่ได้รับเชิญในอนาคต
จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่ากลุ่มมิลเลนเนียลได้รับอิทธิพลจาก FOMO อย่างมาก จากแพลตฟอร์มโซเชียลซึ่งทำให้ผู้ใช้เสพติดการค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ และดูเหมือนว่าคนรุ่นใหม่ควบคุมการซื้อของตนไม่ได้ เพราะไม่ต้องการถูกละเลย ดังนั้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงสามารถใช้แนวทาง FOMO ในการทำตลาดอีคอมเมิร์ซให้ประสบความสำเร็จได้ดังนี้
วิธีใช้ FOMO ในการทำตลาด eCommerce
จริงๆ แล้ว เทคนิคของ FOMO ถูกใช้ในด้านการตลาดมาหลายปีแล้ว หลายคนอาจเคยเห็นมันเป็นล้านครั้งเช่นกัน โดยทุกมVirial campaign ส่วนใหญ่มาจากการเรียก FOMO ในหมู่ลูกค้า เมื่อผู้ซื้อเห็นทุกคนรอบตัวของพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์ พวกเขาก็อยากจะเข้าร่วมในการซื้อครั้งนี้เช่นกัน และนี้คือวิธีที่มีประสิทธิภาพในการใช้ FOMO ในตลาดอีคอมเมิร์ซมีดังนี้:
Social Media
คนรุ่นมิลเลนเนียลได้รับผลกระทบจาก FOMO มากที่สุด ลองเดาดูว่าพวกเขามักจะออกไปเที่ยวที่ไหน อะไรคือสิ่งกระตุ้นทางจิตวิทยาบ่อยๆ นั้นก็คือ Social ที่ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่เท่านั้น ปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนติดโทรศัพท์ ผู้คนนั้นใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนโซเชียลมีเดีย โดยผลสำรวจ 45% ของคนทุกวัยที่ประสบกับภาวะ FOMO ทนไม่เข้าโซเชียลมีเดียใดๆได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง
และนี่คือวิธีการบางส่วน ที่สำคัญต่อการเพิ่มผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในแคมเปญการตลาดโซเชียลมีเดียจากภาวะ FOMO
แจกของแถมแบบจำกัด: เมื่อต้องการโปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่หรือดึงดูดลูกค้าใหม่ การแจกของรางวัลสามารถช่วยได้ จริงๆ เมื่อผู้คนรู้ว่าจะได้รับของสมนาคุณได้ฟรีภายในระยะเวลาที่จำกัด จึงเกิดความกลัวว่าจะพลาด เขาก็จะตัดสินใจทำทันที อย่างไรก็ตามเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดควรมีทีเซอร์ มีการจำกัดสินค้าในสต็อก มีการนับเวลาถอยหลัง และส่งข้อความเตือนเพื่อกระตุ้นพลังแห่งความต้องการของพวกเขามากยิ่งขึ้น
สร้างกลุ่มสุด Exclusive : ผู้คนต้องการเป็นสมาชิกเสมอ ดังนั้นหากมีกลุ่มลับที่มีจำนวนไม่กี่คนที่สามารถเข้าร่วมได้ พวกเขาจะเกิดถามทันทีว่าทำไถึงไม่ได้รับสิทธิ์นั้น โดยสามารถสร้างกลุ่ม Facebook หรือ Loyalty Program สำหรับลูกค้าประจำได้ เป็นการกระตุ้นให้พวกเขารับรู้ว่าเมื่อมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
รวมรีวิว : แสดงให้เห็นว่าผู้คนกำลังซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างน่าพอใจ ลูกค้าสามารถเขียนรีวิวบน Facebook แสดงความคิดเห็นบน Instagram หรือแสดงความคิดเห็นในโพสต์ Twitter ของแบรนด์ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ผู้คนกำลังซื้อสินค้าเท่านั้น แต่มีส่วนร่วมกับแบรนด์เหมือนเพื่อนด้วย
เปิดการแข่งขันเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น: โซเชียลมีเดียจะช่วยเสริมประสบการณ์ โดยแบรนด์สามารถทำได้ผ่านการให้ลูกค้าโพสต์วิดีโอ รูปภาพ หรือคอนเทนท์ เกี่ยวกับบริษัทหรือผลิตภัณฑ์เพื่อแลกกับรางวัล ซึ่งกลยุทธ์นี้สามารถขยายฐานผู้ติดตามได้จากการแบ่งปันและเกมส์การแข่งขัน
เปิดการแข่งขันเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น: โซเชียลมีเดียจะช่วยเสริมประสบการณ์ โดยแบรนด์สามารถทำได้ผ่านการให้ลูกค้าโพสต์วิดีโอ รูปภาพ หรือคอนเทนท์ เกี่ยวกับบริษัทหรือผลิตภัณฑ์เพื่อแลกกับรางวัล ซึ่งกลยุทธ์นี้สามารถขยายฐานผู้ติดตามได้จากการแบ่งปันและเกมส์การแข่งขัน
การใช้แฮชแท็ก: การจัดการประกวดเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นจำเป็นต้องใช้แฮชแท็ก เนื่องจากช่วยให้สามารถติดตามการมีส่วนร่วมในโพสต์และวัดจำนวนคนที่พูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียได้ รวมถึงสามารถใช้แฮชแท็กเพื่อแสดงว่าแบรนด์นั้นร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมในเรื่องนั้นๆได้ด้วย
ใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์สั้นๆ : Snapchat หรือ Instagram ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเนื้อหาหรือเรื่องราวมักจะหายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง โดยจะสามารถสร้างให้เนื้อหาคงอยู่ได้นานหรือให้เฉพาะผู้ที่มาดูเท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้แฟนๆ รอคอยเข้าตรวจสอบโปรไฟล์โซเชียลของแบรนด์บ่อยๆ เพื่อดูว่ามีข้อเสนอใหม่ๆ ปรากฏขึ้นด้วยหรือไม่นั้นเอง
Live: การถ่ายทอดสดเป็นวิธีใหม่ในการเชื่อมต่อกับลูกค้า คุณสามารถรับคำถาม แจกของรางวัล และโต้ตอบกับผู้ชมได้ พวกเขาจะไม่อยากพลาด Live ของคุณ หากดึงดูดด้วยกิจกรรมสนุกๆ ก็จะกระตุ้นให้ผู้คนเข้าร่วมได้
บทสรุป
บทสรุป
การใช้ FOMO ในการตลาดอีคอมเมิร์ซไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องยากที่จะได้รับผลลัพท์ที่ดีเยี่ยมในทุกธุรกิจออนไลน์ หากฝืนหักโหมจนเกินไป แรงกระตุ้นทางจิตวิทยาอาจย้อนกลับมา และทำให้ลูกค้ารู้ทันและจากไปได้ ดังนั้นจึงควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนเลือกใช้วิธีเหมาะสมที่สุดในการใช้ประโยชน์จาก FOMO กับแคมเปญการตลาดของแบรนด์ อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีทั้งด้านดีและด้านเสีย ดังนั้นการใช้ FOMO อย่างชาญฉลาด จะสามารถเพิ่มยอดขายได้ในขณะที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ในสายตาของลูกค้าได้อีกด้วย
ที่มา: www.mageplaza.com
×