MACO is Thailand

เทรนด์การออกแบบพื้นที่ของร้านค้า โดยสร้างพื้นที่ให้มีการบริการจากร้านค้าอื่นๆภายในร้าน ตัวอย่างเช่น ร้านเสริมความงามที่มีป้ายไฟบ่งบอกชัดเจน และมีพื้นที่เฉพาะสำหรับเป็นร้านขายยาเพิ่มเติม
 

ซึ่งเทรนด์นี้ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างมากตั้งแต่ร้านค้าต่างๆสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ปกติภายหลังสถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Macy's กำลังเปิดร้านค้าในร้านค้า 400 แห่ง และร้าน Target ก็ได้ออกแบบให้ร้านของตัวเองนั้นมี Apple Store ให้บริการในหลายๆ แห่ง

โดยนี้จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าและค้นหาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งโดยรวมของพวกเขาได้เป็นอย่างดี 
 

ในขณะที่เทรนด์การคลิกและการไปรอรับสินค้าที่หน้าร้าน จะเป็นเทรนด์ที่มีอยู่ก่อนแล้วก่อนเกิดโรคระบาด แต่ก็พบว่าพฤติกรรม New Normal อีกอย่างหนึ่งในช่วงล็อกดาวน์จาก COVID-19 ที่ผู้คนเกิดความกังวลเรื่องของความปลอดภัยและต้องการความเร่งด่วนสำหรับกลไกในการจัดส่งสินค้าแบบรวดเร็ว 
 

ตัวอย่างเช่น ก่อนเกิดโรคระบาด ถ้านมสดของคุณหมด คุณสามารถไปที่ร้านและรับมันได้ทันที ซึ่งผู้คนประสบปัญหาเดียวกันในช่วงการแพร่ระบาด แต่ไม่สามารถก้าวออกจากบ้านเพื่อซื้อมันได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใครสักคนมาซื้อให้ และการให้ข้อเสนอนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับร้านค้าทั่วโลก
 

โดยในปี 2564 ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาประมาณ 25% และลูกค้าชาวแคนาดา 19% ใช้วิธี "คลิก รวบรวม ดำเนินการ" ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และ 63% ของลูกค้าที่เหลือในสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาเปิดใจลองใช้บริการดังกล่าว
 

Click Collect และ Complete นั้นทำหน้าที่เป็นโซลูชันการให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ไม่มีที่ว่างสำหรับการช้อปปิ้งที่ยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อส่งคำสั่งซื้อแล้ว ผู้ซื้อจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ นั่นคือที่มาของการ Click Collect และ Complete 
 

แม้ว่าการคลิกและการรวบรวมจะช่วยให้นักช้อปสามารถลงมือปฏิบัติจริงและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ Click Collect และ Complete จะช่วยให้นักช้อปได้รับประสบการณ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งยังคงให้อิสระในการเลือกดูและซื้อสินค้าตามที่พวกเขาต้องการ
 

แม้ว่าเทรนด์นี้จะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามลูกค้าบางประเภทก็ยืนกรานที่จะเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้านค้าและหยิบสินค้าด้วยตนเองเช่นกัน

ผู้บริโภคยังคงต้องการที่จะเลือกซื้อไอศกรีม ผลไม้ ผัก และผลิตภัณฑ์แช่แข็งของตนเอง นอกเหนือจากบรรดาสินค้าที่ไม่เน่าเสียง่ายแล้ว ผู้คนต้องการหยิบเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว และของตกแต่งบ้านด้วยตนเอง
 

ซึ่งการส่งเสริมให้นักช้อปมีประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้านได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ เราจำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ของพวกเขาและมอบประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันในร้านค้าที่พวกเขามักจะเรียกดูและใช้จ่ายมากขึ้นนั้นเอง
 

การรับสินค้าในร้านได้รับแรงสนับสนุนในช่วงการแพร่ระบาดเช่นกัน ผู้บริโภคมองว่าวิธีการช้อปปิ้งนี้เป็นทางเลือกที่สะดวกมากในการค้นหาสินค้าที่พวกเขาต้องการ โดยในปี 2564 ผู้ซื้อประมาณ 37% ซื้อของอุปโภคบริโภคโดยใช้วิธีไปรับที่ร้านค้า
 

ผู้บริโภคยังคงใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการรับสินค้าในร้าน แม้ว่าจะมีการจัดส่งออนไลน์เพิ่มขึ้น 147% ตั้งแต่ปี 2020 พวกเขายินดีจ่ายเพิ่มขึ้น 45% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาสามารถได้รับผ่านการจัดส่งออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว
 

Amazon เริ่มต้นสงครามการจัดส่งโดยรับประกันการจัดส่งภายในสองวัน ร้านค้าใหญ่รายใหญ่ เช่น Walmart และ Costco สัญญาว่าจะจัดส่งภายในวันเดียว กลยุทธ์การจัดส่งที่รวดเร็วต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ในช่วงการแพร่ระบาด แต่กลับมาดีขึ้นอีกครั้งเมื่อยกเลิกการล็อกดาวน์ ตัวอย่างเช่น ร้านค้าเช่น Costco เสนอการจัดส่งในวันเดียวกันซึ่งสินค้ามาถึงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสั่งซื้อ
 

แม้ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้บริโภคยังคงรายงานว่ามีความปรารถนาที่จะเยี่ยมชมร้านค้าจริง โดย 6 ใน 10 จะไปที่ร้านค้าเพียงเพื่อเรียกดูรายการที่เลือก ผู้ค้าปลีกยังคงเปลี่ยนนักช้อปออนไลน์เป็นลูกค้าในร้านค้าได้ด้วยกลวิธีส่งเสริมการขายดังนี้ 
 

- คูปอง: มีคูปองในร้านค้าที่สามารถแลกได้จริงเท่านั้น 63% ของลูกค้าบอกว่าเต็มใจมาที่ร้านด้วยตนเองเพื่อแลกคูปองส่วนลด

- ความภักดี: ครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคที่สำรวจโดย NielsenIQ กล่าวว่าพวกเขาเต็มใจที่จะซื้อสินค้าแบบออฟไลน์หากร้านค้ามีโปรแกรมความภักดีโดยเฉพาะ

- ส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษ: ส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษภายในร้านที่สามารถแลกใช้ในเวลาที่ซื้อได้ทันที โดยเฉพาะสินค้าตกแต่งบ้าน
 

ที่มา : https://nielseniq.com