Where we are

MACO is Thailand

leading creative and innovative out of home media solution provider.

แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะทำให้แบรนด์ B2C เปลี่ยนไปในปี 2565

ปี 2564 ปีแห่งการเดินทางสู่ยุคใหม่ ปีแห่งโอกาสและนวัตกรรมสำหรับธุรกิจ Fast Moving Electrical Goods (FMEG) การที่ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางกลายเป็นจุดโฟกัสเมื่ออุตสาหกรรมสินค้าได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่โดยอิงจากรูปแบบผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นที่ต้องการของกระแส New Normal ทั้งนี้ผลจากการแพร่ระบาด ทำให้การเข้าชมอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่แล้ว แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้กลยุทธ์ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากกว่าที่เคยมีมา ความพยายามที่จะระบุความต้องการทางอารมณ์ของลูกค้า เข้าใจเหตุผลของความต้องการนั้นๆ และตอบสนองต่อความต้องการนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการก้าวไปสู่การสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ด้วยศักยภาพในการพัฒนาที่สูงเช่นนี้ อุตสาหกรรมจึงต้องจับตาดูความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และสร้างการเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในยุคหลังโรคระบาด

ความจำเป็นในการบูรณาการคุณสมบัติด้านการดูแลสุขภาพในผลิตภัณฑ์
ในอนาคตข้างหน้า ผู้บริโภคคาดหวังที่จะให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าเรื่องอื่นๆ และจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เหนือกว่าซึ่งจะช่วยเพิ่มสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การแพร่กระจายของไวรัสทำให้เกิดความตระหนักเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพที่ดี ด้วยการเชื่อมโยงที่ชัดเจนไปยังความปลอดภัย สุขภาพ และสุขอนามัย ทำให้ผลิตภัณฑ์อย่างอุปกรณ์ Gadgets ต่างๆมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอคุณสมบัติต่างๆ เช่น การตรวจสอบระดับออกซิเจนในเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ การติดตามสุขภาพ การเตือนการล้างมือให้สะอาด การเตือนอยู่ประจำ การติดตามปริมาณน้ำ เป็นต้น นั้นจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปีหน้า ตามการรายงานของ International Data Corporation (IDC) ในไตรมาสที่สามของปี 2564 อินเดียส่งออก Gadgets กว่า 23.8 ล้านเครื่อง บริษัท FMEG ได้เริ่มสร้างวงล้อขึ้นใหม่โดยผสมผสานการปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน

สินค้าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายนั้นมีบทบาทสำคัญ
แบรนด์ควรให้ความสำคัญในการเข้าสู่หมวดหมู่ที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ที่สามารถให้คุณค่าแก่ผู้บริโภครวมทั้งการตัดสินใจซื้อของพวกเขา ปัจจัยที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือราคาที่พวกเขาจ่ายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ ธุรกิจควรตั้งเป้าที่จะทุ่มเทความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่ากับเงิน รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ แบรนด์ต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญกับนวัตกรรมด้านต้นทุนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการริเริ่ม R&D โดยในปี พ.ศ. 2565 คาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะยังคงแสวงหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าและใช้งานได้จริง มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของความต้องการหรือเพียงเฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตามต้องไม่สูญเสียในเรื่องของคุณภาพไป

ความต้องการระบบอัตโนมัติในบ้านเพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคต้องการโซลูชันที่ล้ำหน้ากว่า ใช้งานง่าย และเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งทุกคนโชคดีที่ได้อยู่ในยุคที่เทคโนโลยีสามารถช่วย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคไป วิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ IOT ได้เพิ่มขนาดและคุณภาพของการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์อัจฉริยะและมนุษย์ เทคโนโลยีที่ผู้บริโภคคุ้นเคยสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น และเทคโนโลยีในอนาคตมีความสามารถในการจัดหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งตลาดสมาร์ทโฮมของอินเดียคาดว่าจะสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 ตามสถิติของ Statista ในขณะที่ผู้บริโภคพยายามที่จะพึ่งพาตนเองมากขึ้น สำหรับหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ไร้สัมผัสที่ขับเคลื่อนด้วยความสะดวก เช่น ไฟ LED อัจฉริยะ ปลั๊กอัจฉริยะ โคมไฟอัจฉริยะ ฯลฯ จะยังคงเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปกรณ์จำนวนมากจะถูกใช้ที่บ้าน และบ้านคือที่ที่ผู้บริโภคจะยังคงทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมองหาอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เทรนด์ดิจิทัลกำลังได้รับความนิยม ซึ่งคำว่า 'SMART' ไม่ใช่เรื่องของความหรูหราอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากคุณสมบัติต่างๆ เช่น การเข้าถึงที่ง่ายดายและความสะดวกสบาย ระบบอัตโนมัติในบ้านอัจฉริยะกำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค เนื่องจากไม่เพียงแต่มีข้อดีหลายประการ แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าด้านสุนทรียะของบ้านได้ด้วย

Source : https://www.exchange4media.com