Where we are

MACO is Thailand

leading creative and innovative out of home media solution provider.

เหตุผลที่โฆษณาวิดีโอคืออนาคตของการโฆษณา

จากรายงานของ PubMatic’s Global Digital Ad Trends พบว่าผู้ลงโฆษณาเกือบสามในสี่วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณในส่วนของการโฆษณาวิดีโอดิจิทัล ระหว่างปี 2019 ถึง 2020 และมีเพียง 1% ของผู้โฆษณาเท่านั้นที่วางแผนจะลดการใช้จ่ายในส่วนนี้
 

ในช่วงก่อนหน้านี้แบรนด์ต่างๆ มักโฆษณาผ่านการออกอากาศทางเคเบิลทีวี แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปใช้การโฆษณาดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไม่เพียงแต่แบรนด์ต่างๆ จะเพิ่มงบประมาณโฆษณาวิดีโอเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์จากช่องทางที่ทันสมัยแทนวิธีการแสดงโฆษณาแบบเดิมๆอีกด้วย

โดยโฆษณาวิดีโอรูปแบบดิจิทัลนั้นได้นำเสนอโอกาสสำคัญของผู้ลงโฆษณาในการรวบรวมข้อมูล การแสดงแบรนด์ การกำหนดเป้าหมาย และการปรับเปลี่ยนในแบบเฉพาะตัว ซึ่งเป็นความสามารถที่โฆษณาทางทีวีแบบดั้งเดิมไม่สามารถสู้ได้ โฆษณาวิดีโอดิจิทัลจึงเป็นอนาคต เพราะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาเชื่อมต่อกับผู้ชมในรูปแบบที่ต้องการได้
โฆษณาวิดีโอนั้นพัฒนาจากการเป็นส่วนหนึ่งของแผนการโฆษณาแบบดิจิทัลไปสู่การมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมกับผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า ซึ่งอันที่จริงการวิจัยจาก HubSpot ระบุว่าผู้บริโภคมากกว่า 50% ต้องการดูวิดีโอจากแบรนด์ มากกว่าเนื้อหาประเภทอื่นๆ

นอกจากนี้ Amazon และ eBay รายงานว่าการเพิ่มโฆษณาวิดีโอลงในคำอธิบายผลิตภัณฑ์ช่วยเพิ่มโอกาสที่นักช็อปจะซื้อสินค้านั้นได้ถึง 35%
ซึ่งด้วยรูปแบบของโฆษณาแบบวิดีโอที่ทำให้ผู้ลงโฆษณามีโอกาสพิเศษในการมีส่วนร่วมและมีความสามารถในการเปลี่ยนผู้มีแนวโน้มเป็นลูกค้าได้ดีกว่าโฆษณาแบบรูปภาพทั่วไป นี้จึงทำให้การโฆษณาแบบวีดีโอกำลังกลายเป็นอนาคตแห่งวงการโฆษณาดิจิทัล
 

 
ทำไมโฆษณาแบบวิดีโอจึงกลายเป็นอนาคตของการโฆษณาดิจิทัล

1. โฆษณาวิดีโอสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น
การโฆษณาแบบวิดีโอผสานสองสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น คือ การเคลื่อนไหวและเสียง โดยทั้งสองอย่างนี้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่ดีขึ้นนั้นเอง

MediaMind ได้ทำการวิเคราะห์การแสดงโฆษณามากกว่า 3 พันล้านครั้งทั่วโลกเป็นเวลาหกเดือน โดยค้นพบว่าผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าคือมีแนวโน้มที่จะคลิกโฆษณาวิดีโอออนไลน์มากกว่าคลิกที่แบนเนอร์ทั่วไปถึง 27.4 เท่า

อย่างไรก็ตามในกรณีที่รูปภาพหรือข้อความของโฆษณานั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาภาพลักษณ์แบรนด์ ก็จะสามารถชี้นำภาพ เพื่อสื่อถึงโทนที่ต้องการจะสื่อสารได้ โดยโฆษณาวิดีโอจะใช้การเคลื่อนไหวและเสียงเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ชม นี้ก็จะทำให้รูปแบบของการโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้นในแง่ของการเล่าเรื่องของคุณไปยังผู้ชมเป้าหมายด้วยข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับผู้บริโภค

ทั้งนี้โฆษณาวิดีโอที่สามารถกระตุ้นความสนใจจากผู้ชมด้วยข้อความที่คำกระตุ้นก็จะประสบความสำเร็จในการสามารถโน้มน้าวทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือสร้างความน่าสนใจได้
จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคโดยเฉลี่ยจะสามารถจดจำข้อความได้ 95% หลังจากมองเห็น เมื่อเทียบกับ 10% ที่จะจดจำได้หลังจากอ่าน ซึ่งหมายความว่ามีผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้ามักจะจดจำข้อความของแบรนด์ผ่านโฆษณาวิดีโอมากกว่าโฆษณาแบบรูปภาพหรือข้อความ นอกจากนี้ประสบการณ์เชิงบวกของผู้บริโภคกับโฆษณาวิดีโอยังเพิ่มความตั้งใจในการซื้อได้ถึง 97% และสร้างการเชื่อมโยงกับแบรนด์ถึง 139%

2. โฆษณาวิดีโอสามารถแชร์ได้
โดยธรรมชาติแล้วผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะแชร์วิดีโอ อ้างอิงจากมีผู้ใช้ Twitter มีอัตราการแชร์วิดีโอ มากกว่า 700 ครั้งต่อนาที
โฆษณาวิดีโอนั้นมีความกระชับ มีความสัมพันธ์กัน และมีเรื่องราวที่ต้องการจะบอกเล่า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาเกิดความต้องการที่จะแบ่งปันเรื่องราวหรือแชร์ต่อ ทั้งนี้โฆษณาวิดีโอยังช่วยให้แบรนด์ต่างๆ แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม และนี้คือเหตุผลที่ว่าผู้คนจำนวนมากจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การบอกต่อ 

ตัวอย่างเช่น โฆษณาวิดีโอที่มีชื่อเสียงของ Poo Pourri มีผู้เข้าชมมากกว่า 42 ล้านครั้ง และช่วยให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านดอลลาร์ 30 ล้านดอลลาร์ได้ไม่นานหลังจากที่โฆษณาวิดีโอของพวกเขากลายเป็น Viral และโฆษณาวิดีโอที่เป็น Viral อีกรายการหนึ่ง คือโฆษณาทดสอบไข่ดิบของที่นอน Purple ซึ่งปัจจุบันมีผู้ชมมากกว่า 185 ล้านครั้ง

3. โฆษณาวิดีโอมีอัตราการคลิกที่สูงกว่า
ความจริงที่ว่าโฆษณาวิดีโอนั้นมีความสามารถในการสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าโฆษณาแบนเนอร์ทั่วไป ทำให้นักโฆษณานั้นไม่เพียงแต่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราการคลิกเพิ่มขึ้นอีกด้วย

จากการศึกษาของ Smaato พบว่า CTR เฉลี่ยของโฆษณาวิดีโอในแอปมือถือนั้น สูงกว่าโฆษณาแบบดิสเพลย์ถึง 7.5 เท่า โดยโฆษณาวิดีโอบน Facebook นั้นมี CTR ที่สูงกว่าโฆษณาแบบรูปภาพอีกด้วย ซึ่ง ClearPivot เอเจนซี่การตลาดดิจิทัลได้เห็นโฆษณาวิดีโอที่กระตุ้นให้เกิดการคลิกมากกว่าโฆษณาแบบรูปภาพสำหรับลูกค้าของตน โดยมีจำนวนคลิกเพิ่มขึ้นถึง 20 ถึง 30%

เมื่อ Cardinal Digital Marketing ได้ทำการทดสอบ A/B ระหว่างโฆษณาวิดีโอกับรูปภาพสำหรับแบรนด์การท่องเที่ยวและทัวร์ พวกเขาพบว่าด้วยปัจจัยอื่นๆที่เหมือนกันทั้งหมด โฆษณาวิดีโอนั้นสามารถสร้าง CTR ได้สูงขึ้น 47% แม้ว่า Facebook จะสามารถสร้าง impression ให้กับรูปภาพได้มากกว่า

แม้ว่าโฆษณาวิดีโอจะใช้เวลานานและมีราคาแพงในการสร้างสรรค์ แต่ความสามารถในการบรรยายเรื่องราวอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าได้มากขึ้นและได้รับการคลิกโฆษณามากขึ้นอีกด้วย

ที่มา : https://instapage.com