MACO is Thailand

1. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคโดยดิจิทัลจะคงอยู่ต่อไป
McKinsey พบว่าการระบาดใหญ่ได้เร่งการเติบโตของอีคอมเมิร์ส 10 ปี โดยใช้ในเวลาเพียง 3 เดือน โดย 60% จากภาคส่วนต่างๆ ของบริษัท ได้เห็นพฤติกรรมการจับจ่ายในรูปแบบใหม่ จากปีที่ผ่านมาซึ่งถึงเวลาที่ต้องปรับตัวและตามให้ทันกับความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ง่ายและรวดเร็ว การรับสินค้าริมทาง และการจัดส่งแบบไม่ต้องสัมผัส

ปัจจุบัน บริษัทต่างๆ กำลังมองหาการสร้างความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับอนาคต โดยรายงานล่าสุดของ IBM เรื่อง Institute for Business Value พบว่า การเปลี่ยนไปใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ 52% ของแบรนด์ค้าปลีก ควบคู่ไปกับการปรับไปใช้การชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสโดยผ่านมือถือ 47% และการสร้างแพลตฟอร์มการขายดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 45%

2. นักการตลาดจำเป็นต้องรู้ความต้องการของผู้บริโภคล่วงหน้าด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์
ข้อมูลเชิงลึกในการค้นหาใกล้เคียงกับเสียงของลูกค้าแบบเรียลไทม์เท่าที่คุณจะทำได้ ผู้บริโภคกำลังบอกแบรนด์อย่างชัดเจนเกี่ยวกับความต้องการ ความจำเป็น และความตั้งใจในคำค้นหาและพฤติกรรมต่างๆบนออนไลน์ของพวกเขา หากบริษัทหรือแบรนด์ไม่ได้ถูกตั้งค่าให้รับฟัง วิเคราะห์ และเปิดใช้งานข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้แบบเรียลไทม์ จะทำให้บริษัทพลาดโอกาสสำคัญในการเชื่อมต่อและมีส่วนร่วมในการเข้าถึงผู้คน กระบวนการ และแพลตฟอร์มเพื่อนำข้อมูลลูกค้าที่มีค่าที่สุดนี้ไปใช้งาน

3. ลูกค้ากำลังมองหาแบรนด์ที่เชื่อมต่อประสบการณ์ด้านดิจิทัล
ในแบบสำรวจลูกค้าล่าสุดของ Salesforce พบว่า 80% ของลูกค้าเชื่อว่าประสบการณ์ที่พวกเขามีกับบริษัทหนึ่งๆ มีความสำคัญพอๆ กับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยกับบอท AI หรือพูดคุยกับตัวแทนลูกค้าทางโทรศัพท์ หรือติดต่อกับตัวแทนขาย

ลูกค้าคาดหวังว่าตัวแทนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ โดยพวกเขาคาดหวังว่าการโต้ตอบหนึ่งครั้งจะสามารถดำเนินต่อไปได้ในส่วนอื่นที่เหลือ โดยพวกเขาไม่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการมีส่วนร่วมให้ข้อมูลกับแบรนด์ ยิ่งไปกว่านั้นจากการศึกษาเดียวกันยังพบว่า 62% ของลูกค้ากล่าวว่าประสบการณ์ในอุตสาหกรรมหนึ่งมีอิทธิพลต่อความคาดหวังของพวกเขาที่มีต่ออุตสาหกรรมอื่นๆด้วยเช่นกัน

4. ระบบดิจิทัลอัตโนมัติอัจฉริยะนั้นเป็นมากกว่าแบบจำลองง่ายๆ
ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และนักการตลาดดิจิทัลพบว่าการทำงานอัตโนมัติเพื่อลดความซ้ำซ้อนไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งเทรนด์ดิจิทัลที่สำคัญคือจำนวนการโต้ตอบและจุดติดต่อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ปริมาณข้อมูลที่เราต้องวิเคราะห์มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การเรียนรู้เชิงลึก Machine Learning การประมวลผลด้านภาษา และกระบวนการอัตโนมัติของหุ่นยนต์ (RPA หรือ robotic process automation) ล้วนแต่เป็นหนทางสู่การทำ SEO และกระบวนการทางด้านการทำการตลาดแบบดิจิทัล
  ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะหมายถึงการไม่ต้องตัดสินใจทุกอย่าง หมายถึงการเสริมพลังให้เครื่องจักรที่ไม่เพียงแต่ดำเนินการในสถานการณ์ที่โปรแกรมไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนรู้และทำความรู้จักกับลูกค้าแต่ละรายจริง ๆ ในแบบที่มนุษย์เราไม่สามารถทำได้ในวงกว้าง และนั่นหมายถึงการทำให้เครื่องจักรเหล่านั้นดำเนินการแบบเรียลไทม์ เมื่อลูกค้าเปิดรับข้อความ เนื้อหา ข้อตกลง และคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมากที่สุด

5. Hyper localization ข้อมูลเฉพาะ ที่มากกว่าเรื่องของภูมิศาสตร์
การระบาดใหญ่ทำให้เกิดความตระหนักอย่างฉับพลันเกี่ยวกับปัญหาของ Supply Chain และความต้องการอย่างกว้างขวางของผู้บริโภคในการสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่น ในขณะที่เรื่องของความคุ้มค่าเป็นตัวขับเคลื่อนการซื้ออันดับต้นๆ สำหรับผู้บริโภคที่สำรวจโดย KPMG เมื่อปลายปี 2020 คุณ Ernst และ Young พบว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้บริโภค 69% เชื่อว่าแบรนด์ต้องเปลี่ยนแปลงโลกไปในทิศทางบวก

ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นมิลเลนเนียล โดย 83% เห็นว่าแบรนด์ที่พวกเขาเลือกซื้อมีคุณค่าสอดคล้องกับตนเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนักการตลาดและผู้บริหารต้องทำงานเพื่อให้แน่ใจว่ามีการสื่อสารเรื่องค่านิยมของแบรนด์อย่างชัดเจน นอกเหนือจากการจัดสรรเนื้อหาตามภูมิศาสตร์ การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในพื้นที่บนโปรไฟล์ Google My Business ของคุณ การสร้างเนื้อหาบล็อกที่ไม่ซ้ำใครตามสถานที่ต่างๆ การกำหนดเป้าหมายโฆษณาตามสถานที่ การได้รับ Hyper localization หมายถึงการทำความเข้าใจสิ่งที่สำคัญจริงๆ ต่อลูกค้าในสถานที่ใดก็ตามซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนกลับมาได้ในข้อความโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ ไม่ว่าจะเป็น ข้อเสนอทางการตลาด การตลาดผ่านอีเมล และอื่นๆ


ที่มา :  https://www.searchenginejournal.com